บ้านเหล่าจั่น ตำบลแกดำ อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม
ประวัติชุมชน
บ้านเหล่าจั่น ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของตัวอำเภอแกดำ อยู่ห่างจากตัวอำเภอราว 4 กิโลเมตร
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลวังแสง อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม
ทิศใต้ ติดกับ ตำบลงัวบา อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
ทิศตะวันออก ติดกับ ตำบลหนองแสน อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
ทิศตะวันตก ติดกับ ตำบลดอนหว่าน อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม
บ้านเหล่าจั่นมีที่มาของชื่อบ้านนามเมืองตามคำบอกเล่าของคนในชุมชนว่า ในอดีตบริเวณที่ตั้งชุมชนเป็นป่าทึบและมีสัตว์ป่านานาชนิด แต่ที่มีมากคือ เสือ คนในชุมชนจึงต้องหาวิธีที่กำจัดเสือออกจากพื้นที่ชุมชนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับคนในชุมชนและสัตว์เลี้ยง จึงได้มีการทำอุปกรณ์จับเสือขึ้น เรียกว่า จั่น ต่อมาจึงนำชื่ออุปกรณ์ในการจับเสือคือ จั่น มาผสมกับคำว่าเหล่า ซึ่งในภาษาอีสานเป็นคำเรียกพื้นที่ป่าทึบตั้งเป็นชื่อชุมชนว่า บ้านเหล่าจั่น
“ที่มาของเหล่าจั่นมาจาก ตะกี้หม่องนี้เป็นป่าฮก มีสัตว์หลายอย่าง หลายสุดนิกะเสือนิละ ไทบ้านกะเลยเฮ็ดจั่นจับเสือขึ้นมา กะเลยได้ชื่อบ้านว่าบ้านเหล่าจั่น ส่วนคำว่าเหล่า กะคือป่า เอามาบวกกัน”(นางละม่อม บำรุงบุญ.สัมภาษณ์)
ชุมชนบ้านเหล่าจั่น ตั้งขึ้นราวทศวรรษที่ 2400 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยกลุ่มคนเมื่อครั้งเริ่มตั้งชุมชนในระยะแรกนั้นตามคำสัมภาษณ์กล่าวว่าเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจาก อำเภอจังหาร และ บ้านขอนแก่น อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด สาเหตุของการอพยพมาเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ชุมชนและตั้งการหาพื้นที่ในการทำมาหากินใหม่ จึงได้พากับอพยพมายังพื้นที่ตั้งชุมชนเมื่อเห็นว่าเหมาะสมแล้วเพราะประกอบไปด้วยหนองน้ำ 3 แห่ง คือหนองสิม(หนองลิงโตน) หนองเจริญ(หนองหัวควาย) หนองพุก และมีห้วยอยู่ทางทิศใต้ของชุมชน อีกทั้งยังมีป่าโคกหนองเขียดเหลืองเป็นพื้นที่ในการหาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต มีแหล่งน้ำมีป่าจึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การตั้งชุมชนจึงได้ตั้งชุมชนอยู่บริเวณหมู่ที่ 10 ในปัจจุบัน โดยมีพ่อใหญ่ขุนนิสัยเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกๆของชุมชน
ทศวรรษที่ 2480 หลังจากที่มีการตั้งชุมชน เกิดโรคไข้บักห่าง(โรคฝีดาษ)ขึ้นในชุมชน สาเหตุของการเกิดโรคนี้เกิดจากในช่วงปีที่เกิดนั้นปรากฏพวก กบ เขียด เป็นจำนวนมาก สัตว์พวกนี้ก็ตายในหนองน้ำและคนก็นำน้ำในหนองในใช้ในครัวเรือน ทำให้เชื้อดังกล่าวติดต่อสู่คน ในปีที่โรคระบาดนั้นคนในชุมชนบ้านเหล่าจั่นเสียชีวิตลงจำนวน 300 คน ส่งผลให้มีการย้ายไปอยู่ตามพื้นที่ไร่นาของตนเอง บางส่วนย้ายไปอยู่บริเวณ หนองพุก บางส่วนย้ายออกไปอยู่ทางหนองหัวควาย และออกไปอยู่ตามไร่นา ทางบ้านหนองสิมบ้างบางส่วน ส่งผลให้เมื่อการระบาดสงบลงกลุ่มคนที่ย้ายไปอยู่ตามหนองพุก และ หนองหัวควาย แยกออกเป็นชุมชนใหม่ กลุ่มคนที่ย้ายหนีโรคระบาดไปทางหนองพุกตั้งเป็นบ้านนาภู กลุ่มคนที่หนีโรคระบาดไปทางหนองหัวควายตั้งบ้านหนองเจริญขึ้น ภายในชุมชนบ้านเหล่าจั่นก็เกิดการขยายตัวของชุมชนออกไปทางบ้านหนองสิมปัจจุบันด้วยเช่นกัน ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคระบบสาธารณสุขยังไม่มีความทันสมัยมาก มีการตั้งสุขศาลาขึ้นที่ตัวอำเภอแกดำ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาในชุมชนบ้านเหล่าจั่นเลย คนในชุมชนจึงต้องพึ่งพาธรรมชาติและอาศัยภูมิปัญญาในการรักษาโรคเอง คืออาศัยสมุนไพรในการฝนทา ต้มกิน เป็นการรักษาด้วยภูมิปัญญาชุมชน เส้นทางคมนาคมส่วนใหญ่เป็นเส้นทางเดิน โดยจะเดินจากชุมชนไปทางหนองสิม ข้ามคูน้ำไป แล้วเดินไปขึ้นรถที่บ้านดอนหว่าน
“เกิดโรคไข้บักห่างขึ้น ในช่วง 2480 กว่า คนบ้านเฮาตายหลาย ตายปีนึง 300 คน คนที่บ่ติดกะหนีไปทางหนองพุกแหน่ หนองหัวควายแหน่ รัฐกะบ่ได้ออกมาเบิ่งเนาะคนไข้เขาหลาย เฮากะอยู่ไปตามอัตภาพ รอดกะรอด ตายกะตาย โรคอันนี้ปีนั้นสัตว์น้ำมันหลายมันตายในหนองไทบ้านกะไปตักน้ำเอาใช้กะติ กะรักษาไปตามอาการ กินยาต้ม ทายาฝนแหน่ ”(นายหนูทอง สัมฤทธิ์รินทร์)
ในปี 2500 เกิดภัยแล้งขึ้นในชุมชนบ้านเหล่าจั่น ไม่สามารถที่ทำนาหรือเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรได้ ทำให้คนในชุมชนมีการนำข้าวของที่มี เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย แตงโม พืชผักต่างๆไปแลกข้าวยังพื้นที่อื่นๆเช่นนำไปแลกข้าวที่จังหวัดร้อยเอ็ด เดินเท้าและขี่เกวียนไป ใช้เวลาไปในแต่ละครั้ง 2-3 วัน หากเดินไปก็จะได้ข้าว 1 หาบ หากเป็นคนที่พอมีฐานะก็จะไปซื้อข้าวที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ต่อมาเมื่อ ปี 2504 มีการปลูกปอตามนโยบายแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 คนในชุมชนบ้านเหล่าจั่นมีการปลูกปอตามที่ภาครัฐมีนโยบาย บ้านเหล่าจั่นมีการปลูกปอเป็นจำนวนหลายครัวเรือนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่าไปทุ่งนาแทบไม่ได้เพราะกลิ่นปอกลิ่นแรงมาก
“ปี2500มันแล้งเฮ็ดนาบ่ได้ คนกะเอาของไปแลกเข้า เอาปลาแดกแน่ เอาผ้าไหมแหน่ เอาไปหลายหม่อง ร้อยเอ็ดนิกะไป ย่างไปขี่เกวียนไป ไปประมาณ 2-3 คืน ได้กะกลับมา ได้มาบ่หลาย หาบเดียว คนมีเงินเพิ่นกะไปซื้อมากิน แต่ว่าบ้านเฮากะดีขึ้นย้อนว่า มีการปอปอในช่วง 2504 ปอหลายเรือน จนไปท่งนาบ่ได้ละ”(นายหนูทอง สัมฤทธิ์รินทร์)
ในปี 2522 เป็นปีที่มีการเปลี่ยนของชุมชนเพราะมีการทำวิจัยภายในชุมชน ทำให้ในปีดังกล่าวเกิดการพัฒนาระบบสาธาณสุข มีห้องส้วม ซึ่งก่อนปี 2522 คนในชุมชนใช้วิธีปลงทุกข์ตามทุ่งนา ตามป่า หรือบ้างทีก็ใกล้ที่ไหนก็ทำกิจส่วนตัวตรงนั้น เมื่อมีการพัฒนาระบบสาธารณสุขแล้ว ระบบประปา และไฟฟ้าก็ได้ตามเข้าใน ในปีนี้มีการส่งหมู่บ้านเหล่าจั่นเข้าประกวดหมู่บ้าน ผลปรากฏว่า บ้านเหล่าจั่นได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทำให้คนในชุมชนตระหนักถึงความสะอาดและลักษณสุขอนามัยตามมา ปี 2539 มีการจัดตั้งกลุ่มทอผ้าบ้านเหล่าจั่นขึ้น โดยได้งบจาก กศคจ. มาสนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มดังกล่าว ในปี 2540 กลุ่มทอผ้าได้ส่งผ้าเข้าประกวดการทอผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก ทำให้ได้รางวัลชนเลิศ ทำให้เกิดการขยายตัวของกลุ่มทอผ้าบ้านเหล่าจั่นขึ้น พ.ศ. 2541 โรงงาน มิ่งเฮง เป็นโรงงานทอผ้า(ไหมพรม)ส่งต่างประเทศที่คนในชุมชนส่วนใหญ่ไปทำงานได้ขยายกิจการมาตั้งยังชุมชนบ้านเหล่าจั่น บริเวณหมู่ 11 การขยายสาขาของโรงงานมิ่งเฮงทำให้คนในชุมชนที่เคยไปทำงานที่กรุงเทพกลับมายังชุมชน ทำให้คนในชุมชนมีรายได้สามารถที่จะสร้างบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน และทำให้เกิดย่านการค้าคนในชุมชนที่ไม่ได้ทำงานก็ทำกับข้าว นำข้าวของไปตั้งเป็นตลาดขายให้กับพนักงานโรงงานหลังเวลาเลิกงาน เกิดรายได้หมุนเวียนภายในชุมชน เกิดธุรกิจหอพักภายในชุมชน และมีคนจากต่างจังหวัดและแรงงานพม่าเข้ามาทำงานด้วย
เลขที่ : บ้านเหล่าจั่น ต. แกดำ อ. แกดำ จ. มหาสารคาม 44190
- นายหนูทอง สัมฤทธิ์รินทร์
- มหาวิทยาลัยมหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม :
- -