บ้านไผ่ล้อม ตำบลโนนภิบาล อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม
ประวัติชุมชน
บ้านไผ่ล้อมตั้งอยู่ตั้งอยู่ที่ ตำบลโนนภิบาล อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม อยู่ห่างจากอำเภอแกดำ
ไปทางทิศตะวันออก 8 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากจังหวัดมหาสารคาม ระยะทาง 33 กิโลเมตร มีประชากรทั้งหมด ประมาณ 416 คน และมีอาณาเขตติดต่อกับชุมชนอื่นๆดังต่อไปนี้
ทิศเหนือ ติดกับบ้านโนนสระพัง ตำบลโนนภิบาล อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม
ทิศใต้ ติดกับบ้านหนองแสง ตำบลหนองแสง อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสาคาม
ทิศตะวันออก ติดกับบ้านโสกแดง ตำบลโนนภิบาล อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม
ทิศตะวันตก ติดกับบ้านโคกก่อง ตำบลโนนภิบาล อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม
เมื่อประมาณทศวรรษที่ 2400 ชาวบ้านบ้านหนองไผ่ล้อม-บ้านไผ่ล้อม ได้อพยพมาจากบ้านหนองกุง ตำบลหนองกุง อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม เนื่องจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านเชื่อว่าสิ่งนี้คือลางร้าย จึงได้พากันย้ายมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านหนองไผ่ในปัจจุบัน โดยเริ่มแรกย้ายมาทั้งหมด 4 ครัวเรือน ได้แก่
1. พ่อใหญ่แก้ว บุญเสียง
2. อาจารย์คูโท แม่ตั้ง
3. พ่อสุด แม่มี
4. แม่หนู ศรีละครดี
“แต่ก่อนบ้านไผ่ล้อม ที่มีชื่อแบบนี้กะเพราะว่า มีหนองน้ำ 1 หนองและบริเวณรอบๆหนองน้ำนั้น มันมีต้นไผ่หลายต้นหลายกอเกิดขึ้นตามดินของหนองน้ำ ตั้งชื่อว่า บ้านหนองไผ่” (สำลี ประกอบคำ. 2564. สัมภาษณ์)
ราวทศวรรษที่ 2500 บริเวณที่ตั้งชุมชนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าโคก คนในชุมชนส่วนใหญ่อาศัยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีการพึ่งพาอาศัยกัน ประมาณปีพ.ศ. 2504 – 2509 ในยุคของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่1 เป็นแผนงานสร้างรายได้จากภาคเกษตรกรรม จึงมีการมองหาช่องทางว่าจะนำพืชชนิดใดมาให้เกษตรกรปลูก แล้วนำผลผลิตไปสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่ม "ปอ" จึงถือเป็นพืชเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่ง ที่คนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในราว พ.ศ. 2512 - 2518 นิยมกันมาก จึงทำให้คนในชุมชนบ้านหนองไผ่เริ่มมีการหันมาปลูกปอ ปลูกฝ้ายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ป่าในชุมชนเริ่มหายไป เพราะคนในชุมชนได้มีการถางป่าหรือปรับเปลี่ยนพื้นที่ป่าโคกเพื่อทำการปลูกปอ ทำให้ในปัจจุบันที่ดินของบ้านหนองไผ่ในปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่สำหรับการทำนาข้าว และเมื่อพื้นที่ป่าหายไปทำให้คนในชุมชนเริ่มมีการขยายตัวออกไปตั้งบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น
การปลูกปอทำให้เศรษฐกิจในชุมชนดีขึ้น เกิดการกระจายรายได้ภายในชุมชน ผู้คนส่วนใหญ่นำปอไปขายที่ในเมืองมหาสารคาม ที่ร้าน “สหสิน” ในชุมชนจึงเริ่มมีรถโดยสารเกิดขึ้น เพื่อเป็นการนำปอไปขายยังร้านในตัวเมือง และคนในชุมชนยังมีการคมนาคมที่สะดวกขึ้น มีการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ามากขึ้น จากการสัมภาษณ์ นางหนูวัน รัตน์ไพ เล่าว่า
“ได้ไปขายปอในเมือง ได้ขึ้นรถโดยสาร ไปมื้อหนึ่งเต็มๆ ไปเช้ากลับแลงเพราะมีรถแล่นอยู่คันเดียว ไปนำกันหลายคนกะต้องรอกันจนครบรถค่อยสิออกได้ ไปขายปอยามใดกะได้กินแต่แนวดีๆ ได้ซื้อปลาทูกลับมากินบ้าน พ่อแม่ลูกหลานได้กินนำ การเป็นอยู่ อาหารการกินดีขึ้น” (หนูวัน รัตน์ไพ. 2564. สัมภาษณ์ )
นอกจากจะมีการนำปอไปขายกับทางร้านสหสินแล้ว ชาวบ้านได้เล่าว่า ได้มีนายฮ้อยจากบ้านมะค่าและบ้านหนองตื่น(พ่อใหญ่สา)มารับซื้อปอถึงที่บ้านหนองไผ่ ทำให้สะดวกมาขึ้น ไม่ต้องเสียค่ารถโดยสารไปถึงในเมืองมหาสารคาม
“ถ้าบ่ได้ขายปอ พ่อบ่มีเสื้อกันหนาวใส่ดอก แต่กี้ตอนยังบ่มีการปลูกปอหน้าหนาวมายามใดกะพากันนั่งผิงไฟเอา ทอฝ้ายกะพอมี ทอแต่เป็นเสื้อ กางเกง ซิ่นไว้นุ่ง บ่มีหมวกไหมพรม เสื้อกันหนาวไว้ใส่ดอก ฮ่า ฮ่าๆ” มีสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อพูดถึง (สำลี ประกอบคำ. 2564. สัมภาษณ์ )
ราวทศวรรษที่ 2520 การปลูกปอเริ่มมีการลดลงเนื่องจากปอมีราคาที่ต่ำลง ชาวบ้านบ้านไผ่ล้อมเริ่มหันไปปลูกยาจี๊ด(ยาสูบ) เพราะได้ราคาที่ดีกว่า คนในชุมชนมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ปีพ.ศ. 2528เริ่มมีกลุ่มของหน่วยงานภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือและส่งเสริมชุมชน นำโดยนายไสว พราหมมณี (ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามลำดับที่31 ดำรงตำแหน่ง ในปีพ.ศ. 2528-2531) และนางพวงเพชร พราหมณี (ภรรยา) ได้นำเงินส่วนตัวมาให้คนในชุมชนลงทุนเป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท เพื่อก่อตั้งกลุ่มสานกระติบจากไม้ไผ่ ซึ่งใช้แหล่งทุนทรัพยากรในธรรมชาติที่มีอยู่ชุมชนให้เกิดประโยชน์และสามารถสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนซึ่งจะส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้เข้าสู่ชุมชน เริ่มแรกมีนายเขน พระลิตและนายกัน พระลิต เป็นผู้ที่เริ่มทำกระติบข้าว ซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน มีการจักสานกระติบข้าวช่วยกันเพื่อไว้ใช้ในครัวเรือนมีลายที่ชื่อว่า “ลายผิดถูก” ชาวบ้านได้เห็นในความสวยงามและความประณีตจึงเริ่มมีการสั่งทำและขอซื้อกระติบข้าว จนเกิดเป็นการสร้างรายได้ ต่อมามีผู้คนในชุมชนเล็งเห็นถึงความสำคัญจึงมาขอให้ทั้ง 2 คนช่วยสอนจักสานกระติบข้าว เพื่อไว้ใช้ในครัวเรือน และเพื่อขายให้กับหมู่บ้านใกล้เคียงจนมีชื่อเสียงมาเรื่อยๆ ซึ่งนายเขนและนายกัน พระลิต ได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการจักสานให้กับคนในชุมชน จึงก่อให้เกิดการจัดตั้งกลุ่มจักสานขึ้นมา โดยในการจัดตั้งกลุ่มจักสานนี้ มีนายทองดี ศรีสาโส เป็นประธานคนแรก และมีนายเขน พระลิต เป็นผู้ที่เริ่มทำกระติบข้าว มีลายที่ชื่อว่า ลายผิดถูก ซึ่งได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาให้กับคนในชุมชน
“ภรรยาผู้ว่า คุณพวงเพชร ได้เอาเงินส่วนตัว 1,000 บาท มาให้พวกเฮาลงทุน 1,000 แต่ก่อนกะหลายอยู่ เทียบๆกับสมัยนี้กะเป็นหลายหมื่นอยู่ ” (บุญร่วม หารประชุม. 2564. สัมภาษณ์ )
ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 คนในชุมชนเริ่มมีศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เกิดจากความสามารถและพรสวรรค์ของคนในชุมชน จึงได้มีการจัดตั้งคณะหมอลำขึ้น มีชื่อว่า พิศมัยน้อย เพชรแกดำ เป็นลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) และมีหมอลำสุวรรรณา นอกจากนี้ยังมีการแสดงหนังประโมทัยและกลองยาวอีกด้วย ซึ่งได้มีการถ่ายทอดศิลปะและวัฒนธรรมมายังรุ่นปัจจุบันให้อนุรักษ์ไว้ต่อไป
ในปี พ.ศ. 2544 แยกออกมาเป็นหมู่บ้านเนื่องจากชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้นและเพื่อให้สะดวกในการปกครอง จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “บ้านไผ่ล้อม” มีการจัดตั้งกลุ่มและระดมหุ้นระหว่างมีสมาชิก 25 คน คนละ20 บาท และต่อมาในปีพ.ศ. 2545 ในช่วงยุครัฐบาลของนายกทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการส่งเสริมภูมิปัญญาของชาวบ้าน การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมีการเข้ามาของ กศน.ตำบลโนนภิบาล อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม จัดโครงการพัฒนาหมู่บ้าน ณ บ้านไผ่ล้อม หมู่ 13 โดยการช่วยลงทุนและให้เงินทุนกับกลุ่มจักสาน เป็นจำนวนเงิน2,300 บาท
ในปี พ.ศ. 2551 มีสมาชิกทั้งหมด 90 คนเริ่มมีพัฒนากร (นักพัฒนาชุมชน) มาจัดอบรมเริ่มมีลายใหม่ๆเกิดขึ้น เช่น ลายขิด ลายพระบรมธาตุนาดูน ลายช้าง เป็นต้น
จากที่กล่าวมานี้ จึงเป็นที่มาของคำขวัญชุมชนบ้านไผ่ล้อมดังนี้
“หนองไผ่ล้อมแสนสำราญ บริการเครื่องจักสาน มีเงินล้านด้วยยาเตอร์จี๊ด สืบสานวัฒนธรรม เลิศล้ำด้วยกลองยาว”
เลขที่ : บ้านไผ่ล้อม ต. โนนภิบาล อ. แกดำ จ. มหาสารคาม 44190
- สำลี ประกอบคำ
- มหาวิทยาลัยมหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม :
- -