AS-44150-00027
โบราณสถานวัดป่ากู่แก้ว
wat pra ku kaew
ประเภทวัฒนธรรม
จับต้องได้ : Tangible.
หมวดหมู่วัฒนธรรม
โบราณสถาน
AS:Archeological Site
โบราณสถานสัญลักษณ์แห่งชาติ
ข้อมูล/ประวัติ
โบราณสถานวัดป่ากู่แก้ว วัดป่ากู่แก้วเป็นวัดประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคามมีการพัฒนาร่วมกันนับตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยบนพื้นที่บ้านขามเรียง(ป่าโคกหนองไผ่) โดยตั้งอยู่ด้านหลังหอพักมหาวิทยาลัยมหาสารคามเขตพื้นที่ขามเรียง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2484 โดยมีนายโสภา นายธรรมยุทธ นายไผ่ นายอ้าย นายสิงห์และเณรอ่อนได้ร่วมกันถากถางพื้นที่เพื่อสร้างวัด พื้นที่วัดป่ากู่แก้วเดิมเป็นชุมชนโบราณเนื่องจากภายในบริเวณวัดพบ “กู่” หรือศาสนสถานแบบเขมรซึ่งมีอายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18-19จากการสัมภาษณ์ ผศ.ดร.สมชาติ มณีโชติ กล่าวว่าลักษณะของกู่แก้วไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าเป็นศิลปะสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าเป็นอโรคยศาลาหรือธรรมศาลาเนื่องจากเป็นสิ่งก่อสร้างที่นิยมสร้างขึ้นในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 18-19 ซึ่งเป็นวัดในพุทธศาสนานิกายมหาญาณ ถ้ากู่ถูกสร้างขึ้นในวัฒนธรรมเขมรจริงในช่วงเวลาดังกล่าวจะนิยมก่อสร้างมากซึ่งกู่ที่สร้างขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการสร้างอยู่ห่างกันประมาณ 60-70 กิโลเมตร กู่แก้วยังอยู่บนเส้นทางการก่อสร้างกู่ โดยเริ่มนับจากกู่สันตรัตน์ กู่บ้านเขวา กู่แก้ว กู่ทอง เป็นต้น ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 ในนามของ “กู่คูขาด” ปัจจุบันเหลือเพียงซากของฐานซึ่งก่อด้วยอิฐและศิลาแลงซึ่งปรักหักพังไม่เห็นรูปทรงที่แท้จริง โดยมีร่องรอยคูน้ำคล้ายเกือกม้าหรือตัวยูล้อมรอบเนินกู่ ชาวบ้านบางส่วนเรียกบริเวณวัดกู่แก้วว่า “กู่คอขาด” ตามชื่อ “หนองคอขาด”หรือ “หนองคูขาด” ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือก่อนเข้าหมู่บ้านดอนหน่องห่างจากกู่ประมาณ 1 กิโลเมตร วัดกู่แก้วนั้นในระยะแรกประสบปัญหากับการหาพระภิกษุมาจำพรรษาและดูแลวัด ภายหลังมีพระมาช่วยบุกเบิกพื้นที่สร้างวัดคือพ่อใหญ่อ้าย พ่อใหญ่สิงห์ที่ได้บวชจำพรรษาที่วัดนี้ ต่อมาพ่อใหญ่บางชาวบ้านดอนหน่องจึงได้บวชตามมา กล่าวกันว่าวัดแห่งนี้มีญาติโยมได้รับโชคลาภจากการใบ้หวยของพระที่มาจำพรรษาทำให้วัดมีเสนาสนะขึ้นในช่วงดังกล่าว ต่อมา พ.ศ. 2505 ภิกษุบางถูกฆาตกรรมคาดว่าจะเป็นการลอบฆ่าเพื่อชิงทรัพย์สินทำให้วัดถูกปล่อยร้าง ศาลาภายในวัดถูกรื้อเพื่อนำไปสร้างโรงเรียนบ้านดอนหนองแทน กระทั่งปี พ.ศ.2509 เป็นต้นมามีภิกษุมาจำพรรษาผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาจำวัดแต่ไม่ได้อยู่ประจำ วัดกู่แก้วเริ่มได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาอย่างชัดเจนในช่วงที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเข้ามาตั้งในช่วง พ.ศ.2540 โดยการนำของศาสตราจารย์บุญชนะ และท่านผู้หญิงแสร์ อัตถากร พร้อมด้วยคณะญาติธรรมได้เข้ามาบูรณะเสนาสนะที่ถูกทิ้งร้างทรุดโทรม และได้สร้างวิหาร 1 หลัง กุฏิ 4 หลังถวาย ในสมัยของศาสตราจารย์(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อธิการบดีในเวลานั้นยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลวัดโดยมีมติถวายให้อยู่ในความดูแลของพระเทพวิสุทธิมงคล(หลวงปู่ศรี มหาวีโร) ความสำคัญของวัดกู่แก้วปรากฏชัดเจนเมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ที่วัดกู่แก้ว และทรงปลูกต้นสาละลังกาไว้เป็นอนุสรณ์ใกล้กับกู่คูขาดในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ต่อมาในปี พ.ศ.2542 หลวงปู่ศรี มหาวีโรมอบให้ลูกศิษย์พระครูปลัดทองอินทร์ กตปุญโญ พร้อมด้วยลูกศิษย์สายปฏิบัติกรรมฐาน 12 รูปมาจำวัดที่วัดกู่แก้ว ในปี พ.ศ.2543 คณะกรรมการวัดและมหาวิทยาลัยมหาสารคามมีมติเห็นชอบที่จะชอบตั้งวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังติดปัญหาเรื่องโฉนดที่ดินเพราะวัดตั้งอยู่บนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ ดังนั้นจึงได้ร่วมทำการแก้ไขโดยการรวมกันทำผ้าป่าสามัคคีรวบรวมเงินของซื้อที่ดินจากนายก้าน เจียงคำ ชาวบ้านขามเรียงจำนวน 9 ไร่ 71 ตารางวาเป็นเงินจำนวน 1,500,000 บาท และได้สร้างศาลาปฏิบัติธรรม 1 หลัง กุฏิสงฆ์ 4 หลัง และห้องน้ำ 4 ห้อง โดยการอุปถัมป์จากศาตราจารย์บุญชนะ-ท่านผู้หญิงแสร์ อัตตถากร จนมีมติมหาเถรสมาคมได้ประกาศให้วัดกู่แก้วเป็นวัดโดยถูกต้องในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2548 หลังจากการเข้ามาบูรณะวัดกู่แก้วในช่วงปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมาเห็นได้ว่าพื้นที่กู่แก้วนั้นแต่เดิมมีคลองน้ำเป็นรูปเกือกม้าล้อมอยู่แต่การเข้ามาบูรณะมีการทำถนนตัดคลองน้ำทำให้ปัจจุบันมีคลองน้ำอยู่เพียงฝั่งทิศเหนือเท่านั้น สำหรับที่มาของชื่อ “กู่แก้ว” นั้นมาจากความเชื่อที่เล่าขานกันว่าในอดีตช่วงค่ำคืนยังไม่มีไฟฟ้าแพร่หลาย ทุกคืนวันพระมักปรากฏดวงแก้วสีเขียงใสกระจ่างขนาดเท่าตะเกหียงเจ้าพายุลอยวนไปเวียนมาระหว่างเนินกู่กับร่องต้นมะค่าที่ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของวัดประมาณ 3-4 ดวงจึงได้เป็นที่มาของการเรียกว่า “กู่แก้ว” ปัจจุบันวัดกู่แก้วนับว่าเป็นวัดประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เนื่องจากมีครู อาจารย์ นิสิต บุคลากร เข้าไปทำบุญหรือทำกิจกรรมภายในวัดเป็นประจำเช่น กิจกรรมสวดมนต์ กิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา เป็นต้น แต่ตัวกู่แก้วเองกลับไม่ได้รับความสนใจมากเพียงมีเพียงชาวบ้านบางกลุ่มที่ยังมีความศรัทธายังมีการเดินทางไปสรงกู่ในช่วงเดือน 6 อยู่แต่ทำเพียงกลุ่มน้อยรวมตัวกันไปสรงกู่ในช่วงเดือน 6 แต่เดิมนั้นมีการจัดพิธีบุญเดือน 6 มีการสรงกู่เป็นงานบุญประจำปีแต่เกิดเหตุการณ์บั้งไฟชนคนตายช่วงประมาณปี พ.ศ.2500 ทำให้วัดก็เลิกการสรงกู่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ที่ตั้ง
เลขที่ : วัดป่ากู่แก้ว ต. ขามเรียง อ. กันทรวิชัย จ. มหาสารคาม 44150
บุคคล/กลุ่มผู้ให้ข้อมูล
- ผศ.ดร.สมชาติ มณีโชติ
ผู้บันทึกข้อมูล
- มหาวิทยาลัยมหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม :
ช่องทางติดต่อ
- -
มีผู้เข้าชมจำนวน :1089 ครั้ง
บันทึกข้อมูลเมื่อวันที่ : 09/09/2022 - ปรับปรุงล่าสุดวันที่ : 09/09/2022